ผมเกลียดความจริงที่ว่า ถ้าผมซื้อ Bitcoin เพียง 3,000 บาทในปี 2012 วันนี้ผมจะมีเงินกว่า 300 ล้านบาท…

การอธิบายว่า Bitcoin คืออะไร อาจเหมือนพยายามอธิบายว่าอินเตอร์เน็ตคืออะไรในปี 1990 พูดง่ายๆ Bitcoin ก็คือเงินดิจิตอลรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ไม่ธรรมดา ต่างจาก PayPal, MoneyGram, Mobile Banking มันไม่เหมือนกับอะไรที่เราเคยใช้มาก่อนเลยสักอย่าง ทุกครั้งที่คุณรับส่งเหรียญ Bitcoin มันใช้เทคโนโลยีใหม่เรียกว่า “Blockchain” ในการเก็บข้อมูลธุรกรรมบนโลกอินเตอร์เน็ต และ ด้วยความปลอดภัยของ Blockchain นี้เอง ทำให้มันกำลังถูกนำมาพัฒนาใช้กับวงการอื่นๆ อีกมาก (Blockchain ก็คือวิธีการเก็บข้อมูลทุกอย่างในรูปแบบใหม่)

ข้อมูล Bitcoin ทั้งหมดจะอาศัยอยู่บนซอฟท์แวร์ Blockchain ที่เก็บไว้ยังเครื่องคอมพิวเตอร์อาสาที่เชื่อมต่อกันด้วยอินเตอร์เน็ตทั่วโลกเรียกว่า “Node” และเมื่อมีธุรกรรมใหม่เข้ามา เช่น คุณส่งเงินให้เพื่อน มันจะถูกถอดรหัสความปลอดภัยทุกครั้งด้วยเครื่อง “Miner” เพื่อไม่ให้ปลอมแปลงได้ ที่คนไทยเรียกกันว่าเครื่องขุดเหรียญ เหรียญบางสกุลก็ใช้การ์ดจอขุดได้อย่าง Ethereum, Dash แต่สำหรับ Bitcoin ต้องใช้เครื่องเฉพาะด้าน “Bitcoin miner” ซึ่งสมัยนี้ขุดแทบจะไม่คุ้มแล้ว เพราะความกินไฟกับค่าเครื่อง

Decentralised

ดังนั้น เมื่อระบบของมันไม่มีศูนย์กลาง (Decentralized) การ Hack จึงเป็นไปไม่ได้ และไม่สามารถล่มทั้งระบบ หรือถูกปิดตัวจากที่ใดที่หนึ่งได้ ข้อมูลไม่มีทางหาย (นอกเสียจากคุณจะทำรหัสหายเอง) ที่สำคัญ หลักการเปลี่ยนโลกของ Bitcoin เลยก็คือการรับส่งเงินโดยไม่ต้องผ่านคนกลางอย่างธนาคารทำให้รวดเร็วกว่าโดยเฉพาะเวลาส่งเงินไปต่างประเทศจำนวนมากๆไม่ต้องรอหลายวันไม่ต้องรอวันทำการรอตอบคำถามถึงเหตุผลของการส่งเงินกับธนาคารแห่งประเทศให้น่ารำคาญและเสียค่าธรรมเนียมสูงๆเสียเวลาทำมาหากิน

แม้คนที่ใช้ Bitcoin ทุกคนสามารถพูดได้อย่างสะใจประมาณว่า “เงินกุโว้ย กุจะทำอะไรก็เรื่องของกุ…” และนั่นทำให้ธนาคารทั้งหลายเริ่มหวั่นเกรงถึงบทบาทตัวเองบนโลกนี้ที่อาจถูกแทนที่ไป แต่คงยัง เพราะทุกคนยังคงรับเงินสด ต้องใช้เงิน และการซื้อ Bitcoin หรือถอนมันออกมาเป็นเงิน ยังไงก็ต้องผ่านเว็บไซต์ Exchange ที่ผูกติดกับผ่านธนาคารอยู่ดี จนกระทั่งวันที่ร้านเซเว่นและโชห่วยทุกที่รับ Bitcoin นั่นแหละ

Bitcoin ในโลกนี้มีจำกัด

Bitcoin ถูกออกมามาให้มีได้ทั้งหมดจำนวน 21 ล้าน btc หมดแล้วหมดเลยตลอดไป และตอนนี้มันวนเวียนอยู่ในออนไลน์ทั้งหมดกว่า 18 ล้าน btc ซึ่งประมาณ 4 ล้านใน 18 ล้านนี้ก็คาดว่าได้หายไปแล้วตลอดกาลเนื่องจากหลายคนในยุคแรกๆ ทำหาย เช่น ทำคอมพ์หาย โยนฮาร์ดดิสทิ้ง เผลอล้างเครื่อง ฯลฯ และที่หาไม่เจออีกมาก ส่วนที่เหลือ ยังรอการขุดขึ้นมาให้ได้ใช้กันอีกประมาณ 3 ล้าน btc

2 วิธีหาเงินกับ Bitcoin

หลายคนพอไม่เข้าใจว่า Bitcoin คืออะไร ก็กลัวไปหมด เห็นมันเป็นแชร์ลูกโซ่ Forex 3D ซะงั้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มันคือเงินดิจิตอล หรือที่เรียกบางคนขนานนามมันให้เป็น “Digital Gold” ที่คุณใช้จ่ายได้ (กับร้านที่เขารับ BTC เท่านั้นนะ ซึ่งยังมีไม่มาก) แต่ถ้ามองมันในมุมของการทำเงิน มันก็มีแค่ 2 ทางคือ อย่างแรก คุณเทรดเป็น คุณก็ ซื้อถูก ขายแพง (Long) บน Bitcoin Exchange ทั่วไป หรือถ้าคุณคิดว่ามันจะราคาลงเมื่อไหร่ คุณก็ Short คือ ซื้อแพง ขายถูก แต่ต้องไปบน Bitcoin Exchange ที่เรียกว่า “Future” เช่น Binance Future, Bitmex, Bybit อะไรพวกนั้นที่สามารถให้คุณแทงขาลงได้

รวมทั้งการใช้ Leverage เพิ่มมูลค่า 5 เท่า 10 เท่า หรือแม้แต่ 100 เท่าของทุนที่มี เช่น คุณมีแค่ 10 บาท แต่เลือก Leverage เป็น 100x ก็เท่ากับ 1,000 บาท ซึ่งอันตรายมากถ้าไม่ระวัง เพราะแม้ว่าเวลาได้ คุณจะได้ทวีคูณตามนั้น ถ้าได้ 1% ก็จะได้กับได้ 100% แต่ตอนเสียก็จะเสีย 100% ด้วยเช่นกัน และถ้าเสียเกินกำหนดที่บัญชีของคุณจะมีจ่าย คุณจะโดน Liquidation คือริปเงินทุนของคุณไปทั้งหมดแทน และต้องบอกไว้ก่อนว่า นักเทรดส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ 90% เสียมากกว่าได้ ดังนั้นการเทรด ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันเป็นศาสตร์ที่ต้องฝึกฝนเป็นปีแล้วปีเล่า ต้องหมดเงินเป็นแสนหรืออาจเป็นล้านกว่าจะได้เรียนรู้ (ผมหมดไปเกือบล้านกว่าจะฉลาด ไว้วันหลังมาเล่าให้ฟัง)

การหาเงินกับ Bitcoin อีกอย่างก็คือการซื้อเก็บ (Hodler) เนื่องจาก BTC มันมีเหลือจำกัดแค่หลักสิบกว่าล้าน BTC ถ้าดูตาม Supply กับ Demand แล้ว ยังถือว่าราคามันยังถูกมากในวันนี้ ด้วยความที่ Supply มันน้อยกว่า Demand หลายคนในวงการเชื่อว่ามันสามารถขึ้นไปถึง 5 แสนถึง 1 ล้านเหรียญต่อ 1 btc ได้ภายในสิบปีต่อจากนี้

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *